ตอนที่แล้วคุยกันว่าในความคิดของสุ่ยหลินไปเรียนเมืองจีนยังไงให้แฮปปี้ โดยสองข้อแรกก็คือยอมรับในความต่างและผูกมิตรกับคนจีนเข้าไป วันนี้มาต่อกันนะคะ เริ่มเลยยย!
3. อย่าอยู่กับคนไทยเยอะ
เหมือนเลวแต่จริงอ่ะ ไม่ได้บอกว่าอย่าคบคนไทยเลยนะคะ แต่เวลาไปเรียนภาษาไม่ว่าภาษาอะไรก็ตามโดยเฉพาะช่วงเริ่มต้นนี่สำคัญมาก คือควรจะอยู่กับเจ้าของภาษาเยอะๆ พยายามอย่าจับกลุ่มไปไหนมาไหนแทบจะตลอดเวลากับเพื่อนคนไทย เพราะมันจะทำให้เราไม่ได้ฝึกพูดหรือฟังเลย ความมั่นใจก็จะน้อยลงไปด้วย ถึงเวลาต้องใช้จริงๆ ก็ไม่กล๊าไม่กล้าพูด ต้องมีเพื่อน มีพี่เป็นแนวหน้าพูดจีนไปก่อน เป็นอย่างงั้นไป ผลลัพธ์ก็คือทำให้เราพูดไม่ได้ หรือพูดได้ช้า สุ่ยหลินเห็นแล้วเสียดายตังค์แทนคนที่อุตส่าห์มาทั้งที
หลายคนอาจแย้งว่า ก็พูดไม่ได้อ่ะจะให้พูดยังไง สุ่ยหลินแนะนำว่าลุยไปเลยค่ะ พูดผิดพูดถูกเดี๋ยวรู้เอง โดยเฉพาะพูดผิดนี่แหละ จะทำให้เราจำแม่น เราจะได้เรียนรู้ ได้ฝึกวิธีใช้ ได้ผจญโลกกว้าง ยืนบนขา (อวบๆ ) ของเราเองได้ด้วย แล้วเราจะภูมิใจ แล้วเราจะอหังการ (เว่อร์ล่ะ 55)
กลุ่มเพื่อนคนไทย ยังไงๆ เราก็คนไทยเหมือนกัน มีอะไรก็ช่วยกันได้ แต่ไม่ใช่ผูกติดกับเขาแทบตลอดเวลา นั่นเอาไว้นัดกันเมื่อเรียนจบแล้วกลับเมืองไทยดีกว่านะ ค่อยมา Reunion อะไรก็ว่าไป
ตอนสุ่ยหลินไปเรียนเมืองจีน ด้วยแรงงกจัดไม่ยอมจ่ายเงินค่าเอเยนซี่ให้เค้าประสานงานทุกอย่างให้ ซึ่งต้องจ่ายค่าดำเนินการให้ 5 พัน คิดว่าจะประหยัดล่ะ 5 พัน จะจัดการเอง ติดต่อเองทำอะไรเองทุกอย่าง เลือกมหาวิทยาลัย เลือกเมือง จองหอ คุยกับอาจารย์สำหรับนักศึกษาต่างชาติ ทั้งที่ภาษาก็แทบไม่ได้เลย คนจีนแม้แต่อาจารย์ก็ไม่พูดภาษาอังกฤษเหมือนกัน มั่วมาก ยากลำบากสุดๆ ผิดๆ ถูกๆ เงอะๆ งะๆ แต่ก็รอดมาจนได้ จากนั้นหมวยก็เลยกลายร่างเป็นเจ้ ชั้นจะไม่กลัวภาษาจีนอีกแล้วในโลกนี้ อุ ว่ะ ฮ่าๆๆ (โปรดนึกภาพประกอบ55)
4. ในกรณีที่เราเป็นผู้หญิง สาวญี่ปุ่นจะมีนิสัยใกล้เคียงกับนิสัยของสาวไทยที่สุด
ส่วนใหญ่คือเรียบร้อยและขี้เกรงใจ ถ้ายังไม่รู้จักใครให้ผูกมิตรกับสาวญี่ปุ่นไว้ก่อนเลยในห้อง ข้อดีคือคนญี่ปุ่นอ่านตัวจีนออก 40-50% (ถึงแม้จะไม่ได้เรียนภาษาจีนมาเลย) เพราะรากของภาษาญี่ปุ่นคือภาษาจีน ดังนั้นเธอทั้งหลายจะอ่านป้ายออกอย่างคล่องแคล่ว แถมดูแผนที่เก่งมว๊าก พอเดาได้ว่าอันนี้คืออะไร สถานที่นี่คืออะไร (ไม่มีภาษาอังกฤษนะคะ) ของกินชิ้นนี้คืออะไร หมดอายุเมื่อไหร่ กินได้หรือเปล่า (น่าตาแบบนี้) มันคือหมูหรือเนื้อหรือแพะหรือหมา! และพาสาวไทยหน้าหมวยไปได้เกือบทุกที่ในมหาวิทยาลัยเวลาย้ายห้องเรียน (มาเองหลงชัวร์ๆ) แต่ก็ใช่ว่าเราจะเอาเปรียบเค้าอย่างเดียวนะคะ เพราะสาวไทยอย่างเรามีข้อดีคือพูดภาษาจีนชัดกว่าเค้าเยอะ ด้วยที่วรรณยุกต์เรามีมากกว่าเขา เวลาคนญี่ปุ่นพูดคนจีนมักฟังยากกว่าคนไทยพูด ดังนั้นเขารับหน้าที่เป็นตากับเป็นมือ ส่วนสาวไทยจะเป็นปากกับหูให้แทน สองคนชู้ชื่นสุดๆ เลยค่ะ
ในกรณีที่คุณเป็นผู้ชาย ถ้าชอบเฮฮาสังสรรค์กินเหล้า สูบบุหรี่บ้างอะไรบ้าง หนุ่มเกาหลีเป็นคำตอบที่มีไลฟ์สไตล์แบบนี้เลย ร้านอาหารเกาหลีมีเพียบข้างมหาวิทยาลัย ถูกด้วย อร่อยด้วย (ถูกกว่าเมืองไทยเยอะ) เหล้าเกาหลีแบบใสๆ เหมือนน้ำเปล่าแต่แรงชะมัด มีให้กินแทบทุกร้าน แกล้มเนื้อย่างเกาหลี พูดไปก็อยากกินจัง เหล้าเข้าปากมิตรภาพก็เกิดขึ้นง่ายระหว่างผู้ชาย คราวนี้ล่ะ เผลอๆ พูดเกาหลีได้อีกต่างหาก
ปล. เรื่องข้างบนเป็นความคิดเห็นของสุ่ยหลินคนเดียว หากเห็นต่างเรามาแชร์ปสก.กันดีกว่าเพื่อให้มีประโยชน์กับผู้สนใจอยากไปเรียนเมืองจีนต่อกันนะคะ^^
สุ่ยหลินหวังว่าประสบการณ์โดยตรงของสุ่ยหลินจะช่วยให้แฟนเพจได้มีภาพกว้างมากขึ้นในการไปเรียนต่อเมืองจีนนะ แต่สำคัญที่สุดเรา “ไม่ได้” อยู่เมืองจีนไปตลอดชีวิตซะหน่อย ยังไงๆ เราก็ต้องกลับเมืองไทย ดังนั้น กลับเมืองไทยมาแล้วก็ต้องพยายาม ดิ้นรน หาโอกาสในการใช้ภาษาจีนด้วย เพราะไม่งั้นทักษะอะไรๆ ที่ฝึกมา 6 เดือนถ้าไม่ได้ใช้เลย ลืมไปครึ่งค่ะ สุ่ยหลินคอนเฟริ์ม!
เรียนภาษาจีนคือเรียนไปตลอดชีวิตนะ 活到老,学到老。[Huó dào lǎo, xué dào lǎo.] ไม่มีใครแก่เกินไปจะเรียนค่ะ
สุ่ยหลิน^^